SET Index ส่อเค้า ปรับฐาน ครั้งใหญ่ สายป่านยาว เตรียมตัว
ภัยธรรมชาติยังพอหลบหลีก แต่ภัยจาก"ความโลภ" แม้มีสติปัญญาก็มิอาจหลีกพ้น ศก.ฟื้น-เงินเฟ้อเฟื่อง-ดอกเบี้ยฟู ข่าวดีถดถอย..ข่าวร้ายกระชั้นชิด
"ข่าวดี" เศรษฐกิจฟื้นตัวเร็วก็ที่คิด...แต่ "ข่าวร้าย" คือหุ้นใกล้หมดรอบแล้ว วัดระยะทางจาก "จุดต่ำสุด" ของหุบเหว 380 จุด ขึ้นไปเที่ยวยอดดอยที่ 638 จุด ปรับตัวเพิ่มขึ้น 258 จุด หรือ 67% ขณะที่ข่าวดีเรื่องเศรษฐกิจฟื้นกำลังจะกลายเป็นข่าวร้าย "เงินเฟ้อ" อาจมาเร็วกว่าที่คิด
ไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บล.ทิสโก้ เชื่อว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับ "ลงแรงในไตรมาส 3" ไม่ใช่สาเหตุหลักที่หุ้นปรับตัวขึ้นมามากแล้ว แต่มุมมองของนักลงทุนต่างชาติที่มองว่าวิกฤติเศรษฐกิจโลกใกล้จะจบแล้ว ธนาคารกลางของประเทศต่างๆ จะต้องเริ่มวางแผนทำ Exit Strategy หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ จะต้องวางแผนลดการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบการเงิน และลดการใช้จ่ายภาครัฐเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อในอนาคต
ผลก็คือจะทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น และเมื่อดอกเบี้ยสูงขึ้นราคาหุ้นก็จะปรับลดลง ขณะนี้อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐเริ่มสะท้อนถึง Exit Strategy ที่ว่านี้แล้ว พันธบัตร 10 ปีให้ผลตอบแทนเกือบ 4% ซึ่งเพิ่มขึ้นเกือบ 100% จาก 2% เมื่อปลายปี 2551 ที่น่าเป็นห่วงก็คือ เริ่มมีนักลงทุนพูดกันแล้วว่าธนาคารกลางสหรัฐอาจจะต้องปรับดอกเบี้ยนโยบายขึ้นภายในปีนี้ หรือไม่ก็ต้นปี 2553
นอกจากนี้ การที่ Valuations ของหุ้นส่วนใหญ่ทั่วโลกปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็วย่อมจะต้องทำให้เกิดแรงเทขายตามธรรมชาติอยู่แล้ว บวกกับการปรับขึ้นของดอกเบี้ย รวมทั้งโอกาสที่เงินเฟ้ออาจจะกลับมาในไตรมาส 4 จากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น และเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่ถูกฉีดเข้ามาสู่ระบบ ปัจจัยเหล่านี้เป็นปัจจัยหลักที่จะนำมาสู่การปรับตัวลงแรงของหุ้นในรอบนี้ ซึ่งมีโอกาสจะทำให้ตลาดหุ้นปรับลงไปสู่ระดับ 500 ต้นๆ ภายในไตรมาส 3 นี้
เมื่อ SET Index ใกล้จะเกิดอาการ Shut Down ชั่วคราว อาการกล้าๆ กลัวๆ ของนักลงทุนเริ่มเข้ามาครอบงำจิตใจอีกครั้ง ไม่รู้ว่าตลาดหุ้นจะมีการปรับฐานครั้งใหญ่เมื่อไร..?
ศ.ดร.ศุภชัย พิศิษฐวานิช อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ประธานกรรมการ บล.ไอร่า ประเมินสถานการณ์ให้กรุงเทพธุรกิจ BizWeek ฟังว่า ตลาดหุ้นมีโอกาส "ปรับฐานครั้งใหญ่" แต่จะช่วงไหนตอบไม่ได้ แต่เริ่มเห็นปฏิกิริยาที่ต่างชาติยังคงหาจังหวะขายหุ้นทำกำไรอย่างต่อเนื่อง
ต่อให้ภาพตลาดหุ้นจะน่ากลัวแค่ไหน..ถึงนาทีนี้ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง ฟันธงฉับว่า นักลงทุนควรใช้จังหวะที่หุ้นตก "ช้อนหุ้นพื้นฐาน" ใครชอบตัวไหนเลือกจิ้มได้ตามใจชอบ ช่วงนี้คนชอบเล่นสั้นจะหวาดกลัวการปรับฐานแรงจนต้องรีบขายทำกำไรออกมาก่อน ทำให้หุ้นบลูชิพหลายๆ ตัว ราคาต่ำกว่าพื้นฐานโดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม "ธนาคารพาณิชย์" และ "พลังงาน"
ที่สำคัญหากมองกลับไปในแง่ของเศรษฐกิจไทย การผ่านร่าง พ.ร.ก.และ พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพิ่มเติมจำนวน 600,000 ล้านบาท จากวงเงินรวม 800,000 ล้านบาท เพื่อมาใช้จ่ายในโครงการภายใต้แผนปฏิบัติการไทยเข้มแข็ง 2555 จะมีส่วนช่วยให้เศรษฐกิจไทยไม่เปราะบาง และมีแนวโน้มฟื้นตัวภายในสิ้นปี 2552 หรือไม่เกินต้นปี 2553
"คุณคิดตามผมนะ หากรัฐบาลจ่ายเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ 100,000 ล้านบาท จะช่วยทำให้ GDP เกิดอาการ Powerful (แข็งแกร่ง) ทันที เพราะเม็ดเงินส่วนใหญ่จะเข้าไปกระตุ้นการจ้างงาน เว้นเสียแต่ว่ามีเหตุการณ์ไม่คาดฝันเกิดขึ้นอีก"
อดีตบิ๊กคลัง ว่าต่อว่า แม้ส่วนตัวจะไม่มีหุ้นอยู่ในมือแม้แต่หุ้นเดียว แต่ก็ติดตามตลาดหุ้นและภาวะเศรษฐกิจตลอดเวลา ยังเชื่อมั่นว่าตลาดหุ้นยังไปต่อได้ พร้อมทั้งแนะนำว่า สำหรับนักลงทุนที่คิดจะลงทุนในตลาดหุ้นให้แบ่งเงินออกมา 30-40% เพื่อลงทุนระยะยาวในหุ้นบูลชิพตัวที่มีฐานะการเงินเติบโตอย่างต่อเนื่อง อีก 30% ให้ลงทุนในหุ้นประเภท "เดย์ทูเดย์" เล่นตามข่าวไปวันๆ ส่วนอีก 30% ฝากแบงก์หรือซื้อกองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ อย่างน้อยก็มีเงินเก็บไว้ให้ “อุ่นใจ” แถมความเสี่ยงต่ำอีกต่างหาก
ถามว่าการลงทุนรอบต่อไปนี้นักลงทุนควรหวังกำไรซักกี่เปอร์เซ็นต์ ประเด็นนี้คงต้องอยู่กับความพึงพอใจส่วนบุคคล แต่ละคนมีความปรารถนาไม่เหมือนกัน "ถ้าเป็นผมจะไม่โลภมาก"
อดีตปลัดคลัง กล่าวปิดท้ายว่า ถ้าให้คาดการณ์ดัชนีตลาดหุ้น..ไม่รู้จริงๆ มันไม่ใช่ทางของผม แต่ถ้าให้มองในมุมของเศรษฐกิจพูดได้เลยว่า "หุ้นไทยมาแน่" เพราะรัฐบาลชุดนี้มี "เซอร์ไพรส์" ตลอดเวลา โดยเฉพาะตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังคนนี้ ส่วนพรรคประชาธิปัตย์อาจจะงุ่มง่ามบางครั้งแต่เขารอบคอบ ฉะนั้นช่วงนี้ใครเป็นแฟนพันธุ์แท้หุ้นตัวไหนรีบหาโอกาสซื้อหุ้นเก็บไว้เลย...เดี๋ยวจะหาว่าไม่เตือน
ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร
ถามความเห็นเซียนหุ้นมูลค่า "เบอร์หนึ่ง" ของไทย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร ให้ทัศนะว่า ตราบใดที่เศรษฐกิจสหรัฐยังไม่ถึงจุดต่ำสุด SET Index ก็ต้องอยู่ในอาการผันผวนแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ดังนั้นภายในปีนี้มีโอกาสที่ตลาดหุ้นจะปรับฐานขึ้นหรือลงครั้งใหญ่ได้ ตัวแปรสำคัญขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนักลงทุน และเม็ดเงินลงทุนของต่างชาติ
“ใครคิดจะลงทุนแบบสั้นๆ ในช่วงตลาดปรับฐานก็ทำได้ แต่ต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ ส่วนนักลงทุนที่ชอบเล่นยาวยิ่งต้องหาจังหวะซื้อหุ้น เพราะหากมองไปอีก 1 ปีข้างหน้าจะพบว่ากำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์อาจขึ้นมา 400,000-500,000 ล้านบาท (จะทำให้ค่า P/E ตลาดที่ว่าแพงตอนนี้ถูกลงในอนาคต)”
ในมุมของ กัมปนาท โลหเจริญวนิช กรรมการอำนวยการ บล.ทรีนีตี้ ในฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ กล่าวว่า ในช่วง 1-2 สัปดาห์ข้างหน้านี้ ตลาดหุ้นมีสัญญาณการปรับขึ้นหรือลงครั้งใหญ่ ฉะนั้นนักลงทุนควรเตรียมตัวเตรียมใจให้พร้อม
"วันนี้พื้นฐานทางเศรษฐกิจบ้านเรายังไม่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ ยิ่งถ้าตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐออกมาย่ำแย่ บอกได้เลยตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างแน่นอน"
ผู้คร่ำหวอดในวงการโบรกเกอร์รายนี้ แนะนำว่า ใครที่อยากได้กำไรจากการลงทุน "เล่นสั้น" น่าจะดีกว่า ให้เลือกหุ้นที่คาดว่าจะได้รับอานิสงส์จากเงินลงทุนของภาครัฐ แต่จะเป็นตัวไหนเลือกซื้อตามความพึงพอใจ
ด้าน โกสินทร์ ศรีไพบูลย์ ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ยูโอบี เคย์เฮียน (ประเทศไทย) เชื่อว่า ตลาดหุ้นในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้ามีโอกาสปรับตัว "ลดลง" ที่สำคัญหากทางการสหรัฐทยอยประกาศตัวเลขเศรษฐกิจออกมาติดลบ โอกาสที่ SET Index จะปรับลดลงลึกก็มีสูงมาก
โดยตัวเลขเศรษฐกิจที่นักลงทุนต้องติดตามในช่วง 2 สัปดาห์ข้างหน้า คือ ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน, ดัชนีราคาผู้บริโภค, ดัชนีราคาผู้ผลิต และดุลบัญชีเดินสะพัด รวมถึงข้อมูลการสร้างบ้านใหม่ และยอดขายบ้าน เป็นต้น ยอมรับว่าตลาดหุ้นตอนนี้ต้องดูแบบกระชั้นชิด ถ้าไม่รอบคอบอาจพลาดท่าได้ง่ายๆ
“เชื่อว่าถึงสิ้นเดือนมิถุนายน นี้ SET Index จะทำการปรับฐานเสร็จเรียบร้อย และในเดือน ก.ค.น่าจะเป็นช่วงเหมาะสมที่จะเข้าลงทุน ส่วนใครที่ติดหุ้นในรอบนี้ต้องหาจังหวะขายก่อนช่วงหุ้นรีบาวด์ เพราะนาทีทองมีไม่นาน"
วัฏจักรตลาดหุ้นไม่เคยทรยศกฎธรรมชาติ "มีขึ้น" ย่อม "มีลง" นักลงทุนสายยาว "กรุงเทพฯ-สุไหงโก-ลก" เตรียม
Categories
- กองทุน (2)
- ข่าวห้องค้า (7)
- ความรู้ หุ้น (15)
- ความรู้อนุพันธ์ (6)
- ความรู้อนุพันธ์;TFEX (1)
- ความรู้ SET (5)
- คอลัมน์ทองคำ (1)
- คอลัมน์หุ้น (30)
- ค่าเงิน (4)
- ค่าระวางเรือ (2)
- ดอกเบี้ย (6)
- ตลาดเงิน (3)
- ตลาดหุ้นทั่วโลก (9)
- ตลาดหุ้นไทย (239)
- ตลาดหุ้นสหรัฐ (46)
- ตลาดหุ้นสหรัฐ;เศรษฐกิจสหรัฐ (2)
- ตัวเลขส่งออก (1)
- ตัวเลข GDP (2)
- ทองคำ (14)
- น้ำมัน (15)
- แนวโน้มตลาดรายวัน (8)
- บทความหุ้น (56)
- ปฎิทินหุ้น (3)
- แผนกู้วิกฤตการเงิน (19)
- วอร์แรนท์ (3)
- เศรษฐกิจญี่ปุ่น (1)
- เศรษฐกิจไทย (91)
- เศรษฐกิจโลก (29)
- เศรษฐกิจสหรัฐ (11)
- หุ้น (65)
- หุ้นกู้ (3)
- หุ้นเด่นวันนี้ (4)
- หุ้นแบงค์ (2)
- G20 (3)
- warrant (1)
--==::: ข่าวประกาศ :::==--
บทความย้อนหลัง
- 05 ก.ค. (1)
- 11 ก.ย. (3)
- 09 ก.ย. (6)
- 03 ก.ย. (3)
- 02 ก.ย. (2)
- 27 ส.ค. (2)
- 20 ส.ค. (3)
- 18 ส.ค. (4)
- 10 ส.ค. (4)
- 04 ส.ค. (1)
- 03 ส.ค. (5)
- 30 ก.ค. (5)
- 28 ก.ค. (4)
- 27 ก.ค. (3)
- 24 ก.ค. (4)
- 23 ก.ค. (4)
- 22 ก.ค. (5)
- 21 ก.ค. (3)
- 20 ก.ค. (7)
- 17 ก.ค. (3)
- 16 ก.ค. (4)
- 15 ก.ค. (2)
- 14 ก.ค. (4)
- 13 ก.ค. (5)
- 10 ก.ค. (5)
- 09 ก.ค. (5)
- 08 ก.ค. (4)
- 03 ก.ค. (6)
- 30 มิ.ย. (5)
- 29 มิ.ย. (6)
- 26 มิ.ย. (4)
- 25 มิ.ย. (5)
- 24 มิ.ย. (5)
- 23 มิ.ย. (5)
- 22 มิ.ย. (5)
- 19 มิ.ย. (5)
- 18 มิ.ย. (5)
- 17 มิ.ย. (4)
- 16 มิ.ย. (4)
- 15 มิ.ย. (6)
- 12 มิ.ย. (5)
- 11 มิ.ย. (4)
- 10 มิ.ย. (4)
- 09 มิ.ย. (4)
- 08 มิ.ย. (4)
- 05 มิ.ย. (5)
- 04 มิ.ย. (4)
- 03 มิ.ย. (1)
- 28 พ.ค. (4)
- 27 พ.ค. (4)
- 26 พ.ค. (6)
- 25 พ.ค. (6)
- 22 พ.ค. (8)
- 21 พ.ค. (5)
- 20 พ.ค. (4)
- 19 พ.ค. (3)
- 14 พ.ค. (3)
- 13 พ.ค. (2)
- 12 พ.ค. (2)
- 11 พ.ค. (5)
- 07 พ.ค. (3)
- 06 พ.ค. (4)
- 30 เม.ย. (4)
- 29 เม.ย. (5)
- 28 เม.ย. (4)
- 24 เม.ย. (4)
- 23 เม.ย. (4)
- 22 เม.ย. (4)
- 20 เม.ย. (3)
- 17 เม.ย. (4)
- 16 เม.ย. (4)
- 10 เม.ย. (5)
- 09 เม.ย. (3)
- 08 เม.ย. (7)
- 07 เม.ย. (7)
- 05 เม.ย. (4)
- 03 เม.ย. (7)
- 02 เม.ย. (8)
- 01 เม.ย. (8)
- 31 มี.ค. (5)
- 30 มี.ค. (6)
- 29 มี.ค. (4)
- 28 มี.ค. (2)
- 27 มี.ค. (9)
- 26 มี.ค. (8)
- 25 มี.ค. (4)
- 24 มี.ค. (6)
- 23 มี.ค. (7)
- 20 มี.ค. (6)
- 19 มี.ค. (9)
- 18 มี.ค. (6)
- 17 มี.ค. (6)
- 16 มี.ค. (7)
- 13 มี.ค. (3)
- 12 มี.ค. (3)
- 11 มี.ค. (5)
- 10 มี.ค. (8)
- 09 มี.ค. (7)
- 05 มี.ค. (7)
- 04 มี.ค. (6)
- 03 มี.ค. (3)
- 02 มี.ค. (5)
- 27 ก.พ. (5)
- 26 ก.พ. (2)
- 25 ก.พ. (5)
- 18 ก.พ. (2)
- 17 ก.พ. (3)
- 16 ก.พ. (2)
- 12 ก.พ. (2)
- 11 ก.พ. (3)
- 09 ก.พ. (1)
23 มิถุนายน 2552
SET Index ส่อเค้า ปรับฐาน
โดย Mboy เวลา 09:49 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ตลาดหุ้นไทย, เศรษฐกิจไทย
คาด5ปีกองทุนรวมไทยโตเร็วสุด
คาด5ปีกองทุนรวมไทยโตเร็วสุดกว่า2ล้านล้าน
"เซรุลลี แอสโซซิเอทส์" คำนวณสินทรัพย์กองทุนรวมอาเซียนอีก 5 ปีข้างหน้า เพิ่ม 56% ขยายตัวเร็วจาก 8.25 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2551 เป็น 1.3 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2556 เหตุประชากรวัยเกษียณกับชนชั้นกลางที่มีศักยภาพนำเงินสดลงทุนมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยกองทุนรวมของไทยจะโตเร็วมีสินทรัพย์ให้บริหารมากสุด เทียบเพื่อนบ้านภูมิภาคเดียวกัน อยู่ที่ระดับ 6.12 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือกว่า 2 ล้านล้านบาท ก่อนสิ้นปี 2556
เซรุลลี แอสโซซิเอทส์ บริษัทที่ปรึกษาและวิจัยทางการเงินชั้นนำของโลก เผยแพร่ผลสำรวจแนวโน้มอุตสาหกรรมกองทุนรวมของกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หรือ อาเซียน ผ่านสำนักข่าวรอยเตอร์ วานนี้ (22 มิ.ย.) ระบุว่า ตลาดกลุ่มคนวัยเกษียณที่แข็งแกร่งและชนชั้นกลางที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น จะส่งผลให้สินทรัพย์ของกองทุนรวมในอาเซียน โดยเฉพาะไทยกับมาเลเซีย ขยายตัวได้มาก ซึ่งอัตราเฉลี่ยอยู่ที่ 56% ตลอดระยะ 4 ปีข้างหน้านับจากปี 2552
ผลสำรวจของเซรุลลี แอสโซซิเอทส์ อธิบายว่า สินทรัพย์ของกองทุนรวมในอาเซียนอาจเพิ่มขึ้น อยู่ที่ประมาณ 1.3 แสนล้านดอลลาร์ ในปี 2556 จากระดับ 8.25 หมื่นล้านดอลลาร์ ในปี 2551 ขณะที่การเติบโตของมูลค่าสินทรัพย์กองทุนรวมทั้งภูมิภาคช่วงปีนี้ อาจทรงตัวอยู่ที่ระดับเดิม ก่อนจะเริ่มขยายตัว และเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในปี 2553
ทั้งนี้ การสำรวจคาดว่าอุตสาหกรรมกองทุนรวมของไทยจะมีมูลค่าสินทรัพย์ให้บริหารมากสุดตลอดระยะ 5 ปีข้างหน้า ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ให้บริหารเพิ่มขึ้นเป็น 6.12 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 2.08 ล้านล้านบาท ภายในปี 2556 จากช่วงสิ้นปี 2551 ที่มีอยู่ 3.85 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.31 ล้านล้านบาท
รายงานของเซรุลลี แอสโซซิเอทส์ ระบุว่าประชากรไทยเพิ่มจำนวนมากขึ้นจากเดิมเป็น 63 ล้านคนทั่วประเทศ ประชากรที่เพิ่มจำนวนต่างนำเงินสดมาลงทุนเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการลงทุนในตราสารหนี้ ขณะที่มาเลเซียคาดว่าจะมีสัดส่วนสินทรัพย์ให้อุตสาหกรรมกองทุนรวมบริหารมากเป็นอันดับสองของภูมิภาคภายในปี 2556 อยู่ที่ประมาณ 3.26 หมื่นล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 83% จากปี 2551
ส่วนอุตสาหกรรมกองทุนรวมของสิงคโปร์ อาจมีสัดส่วนสินทรัพย์ให้บริหาร 2.26 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 33% เทียบกับสิ้นปี 2551 ขณะที่อุตสาหกรรมกองทุนรวมอินโดนีเซียมีสัดส่วนสินทรัพย์ให้บริหาร 9.3 พันล้านดอลลาร์ หรืออีก 4 ปีข้างหน้าเพิ่มขึ้น 50% และอุตสาหกรรมกองทุนรวมฟิลิปปินส์จะมีสัดส่วนสินทรัพย์ให้บริหาร 3.6 พันล้านดอลลาร์ หรือเพิ่มขึ้น 24% ในช่วงเวลา 4 ปีข้างหน้า
"เราคาดว่าไทยและมาเลเซียจะเป็นปัจจัยหลักที่กระตุ้นการเติบโตของสินทรัพย์ภูมิภาคนี้ในอนาคต และการเติบโตของตลาดกองทุนรวมในฟิลิปปินส์จะอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เนื่องจากมีข้อจำกัดด้านกฎระเบียบส่วนอัตราการเติบโตของตลาดสิงคโปร์ สะท้อนให้เห็นว่าตลาดนี้อิ่มตัวแล้ว และยังสะท้อนด้วยว่าการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมีความไม่แน่นอนด้วยเช่นกัน" เซรุลลี แอสโซซิเอทส์ระบุในผลสำรวจ
อย่างไรก็ตาม การสำรวจไม่ได้ระบุถึงตัวเลขคาดการณ์สำหรับเวียดนาม และรอยเตอร์ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า อาเซียนกำลังฝ่าฟันวิกฤติเศรษฐกิจโลกในช่วงนี้ ธนาคารส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ไม่มีสินทรัพย์ด้อยคุณภาพ และอัตราการออมเงินในภูมิภาคก็อยู่ในระดับสูงเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ส่งผลให้บางประเทศในอาเซียนมีทุนสำรองสกุลเงินต่างประเทศสูงเป็นประวัติการณ์ แต่ประเทศในภูมิภาคนี้ส่วนใหญ่ยังคงประสบกับภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ทั้งนี้ ผลสำรวจของเซรุลลี แอสโซซิเอทส์ระบุด้วยว่า กองทุนรวมในอาเซียนมีมูลค่าสินทรัพย์หดตัวลงเพียง 18 % ในปี 2551 ซึ่งต่ำกว่าอัตราการหดตัวของกองทุนรวมสหรัฐ และก่อนที่จะเกิดวิกฤติการเงินโลก มูลค่ากองทุนรวมในอาเซียน เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2550 จากระดับ 4.62 หมื่นล้านดอลลาร์ในปี 2546 หรือขยายตัวเท่ากับ 21% ต่อปี
อย่างไรก็ดี ผลสำรวจครั้งนี้ได้ตั้งข้อสังเกตว่า ปัญหาภายในประเทศ เช่น ความไม่สงบทางการเมือง อาจสร้างความผันผวนอย่างต่อเนื่องให้กับตลาดอาเซียน และมาเลเซียอาจจะประสบกับความปั่นป่วนทางการเมือง ในช่วงที่นายอันวาร์ อิบราฮิม ผู้นำฝ่ายค้าน จะเข้ารับการพิจารณาคดีในศาลในเดือน ก.ค.ปีนี้ จากข้อกล่าวหามีเพศสัมพันธ์กับเพศเดียวกัน ซึ่งนายอิบราฮิมระบุว่าเป็นการตั้งข้อหาที่มีจุดประสงค์ทางการเมือง ด้านไทยตลอด 4 ปีที่ผ่านมาก็เผชิญกับวิกฤตการณ์ทางการเมือง
โดย Mboy เวลา 09:44 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: กองทุน, เศรษฐกิจไทย
ปฏิทินเศรษฐกิจสหรัฐฯในสัปดาห์นี้
ปฏิทินเศรษฐกิจสหรัฐฯในสัปดาห์นี้
นักลงทุนจับตาดูการประชุมธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)
ซึ่งจะมีขึ้นในคืนวันอังคารและจะเสร็จสิ้นในคืนวันพุธนี้
โดยมีกระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะตรึงดอกเบี้ยที่ระดับ 0.0.25%
นอกจากนี้ นักลงทุนยังจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญๆของสหรัฐในสัปดาห์นี้
โดยวันอังคาร ABC News จะเปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 21 มิ.ย.
วันพุธ กระทรวงพาณิชย์จะรายงานยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนเดือนพ.ค.และยอดขายบ้านใหม่เดือนพ.ค.
ส่วนในวันพฤหัสบดี กระทรวงแรงงานสหรัฐรายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
และตัวเลขผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ที่แท้จริงขั้นสุดท้ายประจำไตรมาส 1
และในวันศุกร์มหาวิทยาลัยมิชิแกนจะเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นขั้นสุดท้ายเดือนมิ.ย.
ที่มา:อินโฟเควสท์
โดย Mboy เวลา 09:38 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ดอกเบี้ย, ตลาดหุ้นสหรัฐ;เศรษฐกิจสหรัฐ, เศรษฐกิจโลก
ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงกว่า 200 จุด
ตลาดหุ้นสหรัฐดิ่งลงกว่า 200 จุด น้ำมันดิบร่วง 2.62 ดอลลาร์
สหรัฐ 23 มิ.ย. - ความวิตกกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ดัชนีหุ้นสหรัฐดิ่งลงอย่างทะลุ 200 จุด
ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีดิ่งลงอย่างหนักจากแรงเทขายของนักลงทุนที่วิตกกังวลหลังธนาคารโลก
(เวิลด์แบงก์) ปรับลดการพยากรณ์ภาวะการขยายตัวของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ลงจากติดลบ 1.7% เป็นติดลบ
2.9% เช่นเดียวกับการค้าขายทั่วโลกในปีนี้ที่จะลดลงถึง 9.7% สะท้อนว่าเศรษฐกิจโลกจะยังไม่ฟื้นตัวอย่าง
เต็มรูปแบบในระยะเวลาอันใกล้นี้
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.40 พันล้านหุ้น
มีจำนวนหุ้นลบมากกว่าหุ้นบวกในอัตราส่วน 2,703 ต่อ 345
ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.35 พันล้านหุ้น
ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กซบเซาลงทันทีที่ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า
เศรษฐกิจโลกปีนี้จะหดตัว 2.9% เมื่อเปรียบเทียบกับการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่คาดว่า
จะหดตัวเพียง 1.7% นอกจากนี้ ธนาคารโลกคาดว่าเศรษฐกิจโลกจะกลับมาฟื้นตัวขึ้น
อีกครั้งในปีหน้า โดยคาดว่าจะขยายตัวราว 2% แต่ลดลงจากระดับคาดการณ์เมื่อ 3 เดือน
ก่อนว่าจะขยายตัว 2.3%
ธนาคารโลกชี้ว่า แม้จะมีการคาดการณ์กันว่าเศรษฐกิจโลกจะเริ่มกลับมาฟื้นตัวในช่วง
ครึ่งหลังของปีนี้ แต่ประเทศยากจนคงจะไม่ได้รับปัจจัยบวกจากการฟื้นตัวเหมือนกับประเทศ
ร่ำรวย พร้อมกับเรียกร้องให้มีการใช้นโยบายที่แข็งกร้าวเพื่อเร่งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
นอกจากนี้ ธนาคารโลกยังได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับกระแสเงินทุนจากประเทศกำลัง
พัฒนาที่หดตัวลง หลังจากที่กระแสเงินทุนจากประเทศกำลังพัฒนาในปี 2550 มีสูงถึง 1.2
ล้านล้านดอลลาร์ แต่ในปีนี้คาดว่า กระแสเงินทุนจากประเทศกำลังพัฒนาจะหดตัวลงมาเหลือ
แค่ 3.63 แสนล้านดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบตลาด NYMEX ร่วงลงและฉุดหุ้นกลุ่มพลังงานดิ่งลงด้วย
โดยหุ้นเชฟรอน คอร์ป ปิดร่วง 3.4% หุ้นอัลโคปิดดิ่งลง 8.9%
ราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์ ดิ่งลง 2.62 ดอลลาร์สหรัฐ
ปิดที่ 66.93 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล ต่ำที่สุดในรอบ 2 สัปดาห์
ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ดิ่งลง 200.72 จุด ไปปิดที่ 8,339.01 จุด
แนสแดคปิดที่ 1,766.19 จุด ลดลง 61.28 จุด
และเอสแอนด์พีปิดที่ 893.04 จุด ลดลง 28.19 จุด
ที่มา:สำนักข่าวไทย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์
โดย Mboy เวลา 09:35 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ตลาดหุ้นสหรัฐ, น้ำมัน
แกว่งลง!!
แกว่งลง!!
ดัชนีหุ้นไทยวันที่ 22 มิ.ย. 52 ปิดที่ 582.29 จุด ลดลง 6.69 จุด มีมูลค่าการซื้อขาย 15,026 ล้านบาท ต่างชาติซื้อสุทธิ 1,591.70 ล้านบาท
ฝ่ายวิเคราะห์ ไซรัส กล่าวว่า ปัจจัยต่างประเทศยังเป็นปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย หลังจากราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกปรับตัวลดลง และส่งผลกระทบต่อความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นต่างประเทศ รวมทั้งตลาดหุ้นไทย
มองแนวโน้มตลาดระยะสั้นว่า ดัชนีน่าจะแกว่งตัวแคบๆในลักษณะปรับฐาน โดยมองแนวรับไว้ในช่วง 550-560 จุด เนื่องจากยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ๆเข้ามาหนุนบรรยากาศการลงทุน ขณะที่ยังคงต้องติดตามผลการประชุมของเฟดเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ยในวันที่ 23-24 มิ.ย.นี้ และตัวเลขยอดขายบ้านมือสองเดือน พ.ค.ที่จะออกมา รวมทั้งยอดสั่งซื้อสินค้าคงทนและยอดขายบ้านใหม่เดือน พ.ค. และทิศทางค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯด้วยว่า จะแข็งค่าหรืออ่อนค่า ซึ่งล้วนส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้งไทย
แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้นักลงทุนเลือกซื้อหุ้น Defensive ทั้งสื่อสาร, ค้าปลีก, โรงไฟฟ้า, โรงพยาบาล, น้ำ
ด้าน บล.ฟินันซ่า คาดตลาดจะผันผวนต่อ โดยนักลงทุนยังคงลงทุนในลักษณะเทรดดิ้งซื้อขายทำกำไรระยะสั้น ส่วนกรณีที่สถาบันจัดอันดับความน่าเชื่อถือเอสแอนด์พี ระบุว่า อาจพิจารณาลดอันดับความน่าเชื่อถือของไทย ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ระดับ BBB+ นั้น มองว่าไม่น่าส่งผลกระทบต่อตลาด
ขณะที่มีปัจจัยในประเทศ ให้ติดตามการเปิดซองประมูลรถไฟสายสีม่วงสัญญาที่ 3 และการออก พ.ร.ก.กู้เงิน 4 แสนล้านว่า จะผ่านการพิจารณาของวุฒิสภาหรือไม่
แนะกลยุทธ์การลงทุน ให้ขายเมื่อดัชนีปรับตัวขึ้นและกลับมารอซื้อเมื่อดัชนีอ่อนตัวลง ด้านเทคนิคประเมินแนวรับไว้ที่ 580 จุด แต่หากหลุดแนวรับดังกล่าว ดัชนีอาจลงลึกไปถึง 560 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 592-595 จุด
ฝ่ายวิเคราะห์ บล.ฟิลลิป ประเมินว่า ตลาดจะยังคงปรับฐานลงต่อแต่คงไม่ลงแรงมาก ทั้งนี้ แนะให้นักลงทุนเข้าซื้อหุ้นเพื่อเก็งกำไรไม่เกิน 50% ของพอร์ต โดยแนะหุ้นกลุ่มแบงก์ โดยเฉพาะ KBANK, SCB และ BBL ที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล!!
โดย Mboy เวลา 09:32 0 ความคิดเห็น
ป้ายกำกับ: ตลาดหุ้นไทย, บทความหุ้น