ดาวโจนส์พุ่งเกือบ 500 จุด สูงสุดในรอบ 4 เดือน
สหรัฐ 24 มี.ค. - ตลาดหุ้นสหรัฐพุ่งขึ้นเกือบ 500 จุด หลังนักลงทุนพอใจข้อมูลล่าสุดที่เกี่ยวกับตลาดอสังหาริมทรัพย์และสถาบันการเงิน
ปิดการซื้อขายตลาดหุ้นสหรัฐ ดัชนีพุ่งขึ้นต่อเนื่องจากตลอด 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา หลังนักลงทุนพอใจที่รัฐบาลเตรียมทุ่มงบอีก 700,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ แก้ปัญหาหนี้เสียในภาคการธนาคารและสถาบันการเงิน
โดยจะพยายามดึงดูดนักลงทุนทั้งภาครัฐและภาคเอกชนเข้าซื้อหนี้เสีย ฉุดให้มีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นแทบทุกกลุ่ม โดยเฉพาะหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน และกลุ่มธุรกิจสร้างบ้าน ภายหลังตัวเลขยอดขายบ้านในเดือนที่ผ่านมา กลับมาน่าพอใจอีกครั้ง
ปริมาณการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กมีอยู่ราว 1.91 พันล้านหุ้น มีจำนวนหุ้นบวกมากกว่าหุ้นลบในอัตราส่วน 2,863 ต่อ 259 ส่วนปริมาณการซื้อขายในตลาด Nasdaq มีอยู่ราว 2.24 พันล้านหุ้น
จิม ดูนิแกน นักวิเคราะห์จาก PNC Wealth Management กล่าวว่า ภาวะการซื้อขายในตลาดหุ้นนิวยอร์กเป็นไปอย่างคึกคึกหลังจากคณะทำงานของโอบามาเปิดเผยแผนกำจัดสินทรัพย์ด้อยคุณภาพออกจากงบดุลบัญชีธนาคาร ซึ่งทำให้นักลงทุนมั่นใจว่าธุรกิจปล่อยกู้ของสถาบันการเงินในสหรัฐจะฟื้นตัวขึ้น โดยหุ้นกลุ่มการเงินทะยานขึ้นแข็งแกร่งสุด
การเปิดเผยแผนการดังกล่าวมีขึ้นหลังจากหลังจากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ประกาศใช้มาตการฟื้นฟูเศรษฐกิจวงเงินกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ที่ครอบคลุมถึงการข้าซื้อพันธบัตรระยะยาวของรัฐบาลสหรัฐมูลค่า 3 แสนล้านดอลลาร์ในช่วง 6 เดือนข้างหน้า และเพิ่มการรับซื้อตราสารที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยรองรับ (MBS) อีก 7.50 แสนล้านดอลลาร์
รายงานระบุว่า กระทรวงการคลังสหรัฐจะเริ่มปล่อยกู้สำหรับโครงการลงทุนระหว่างภาครัฐและเอกชนด้วย
เงิน 7.5 หมื่นถึง 1 แสนล้านดอลลาร์ ซึ่งจะมาจากวงเงิน 7 แสนล้านดอลลาร์ของกองทุนฟื้นฟูภาคการเงิน
ที่ได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรสเมื่อฤดูใบไม้ร่วงที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ตลาดขานรับรายงานของสมาคมนายหน้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติที่ระบุว่า ยอดขายบ้านมือสองพุ่งขึ้น 5.1% ในเดือนก.พ.แตะระดับ 4.72 ล้านยูนิต สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่ายอดขายบ้านมือสองเดือนก.พ.จะร่วงลง 0.9% แตะระดับ 4.45 ล้านยูนิต/ปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สมาคมนายหน้าค้าอสังหาริมทรัพย์แห่งชาติเริ่มรวบรวมข้อมูลในปีพ.ศ.2543
ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.พ.ทำให้นักลงทุนส่วนใหญ่คลายความวิตกกังวลเรื่องปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์หลังจากยอดขายบ้านมือสองประจำเดือนม.ค.ร่วงลง 5.3% เหลือเพียง 4.49 ล้านยูนิตต่อปี ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 12 ปี และสวนทางกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.1%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นนิวยอร์กได้รับปัจจัยบวกจากนายมาร์ค โมเบียส ผู้จัดการกองทุนชื่อดังและประธานบริษัท เทมเพลตัน แอสเซ็ท แมเนจเมนท์ ที่คาดการณ์ว่า ภาวะกระทิงรอบใหม่ของตลาดหุ้นทั่วโลกเริ่มขึ้นแล้ว และบริษัท เทมเพลตันกำลังรุกซื้อหุ้นในตลาดเกิดใหม่ทุกแห่ง ซึ่งมีมูลค่าที่น่าดึงดูดใจมากกว่าตลาดหุ้นในกลุ่มชาติมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ
"ตลาดหุ้นทั่วโลกกำลังเข้าสู่ภาวะกระทิงรอบใหม่ บริษัทเทมเพลตันกำลังรุกซื้อหุ้นในบริษัทที่มีสภาพคล่อง
หนาแน่น หนี้สินต่ำ มีอัตราการจ่ายเงินปันผลที่สูง และให้ความสนใจในบริษัทที่มีศักยภาพที่จะขยายตัวได้ดีในอนาคต" โมเบียส วัย 72 ปีกล่าวทางสถานีโทรทัศน์บลูมเบิร์ก
หุ้นกลุ่มการเงินทะยานขึ้นแข็งแกร่ง โดยหุ้นซิตี้กรุ๊ปปิดพุ่ง 19.5% หุ้นแบงค์ ออฟ อเมริกา ปิดบวก 26% หุ้นเจพีมอร์แกนปิดบวก 25% และหุ้นธนาคารเวลส์ ฟาร์โก ปิดพุ่ง 24%
ด้านราคาน้ำมันดิบตลาดไนเม็กซ์
พุ่งขึ้น 1.73 ดอลลาร์สหรัฐ ไปปิดที่ระดับ 53.80 ดอลลาร์สหรัฐ/บาร์เรล
ทำให้หลังปิดตลาด ดัชนีหุ้นดาวโจนส์ พุ่งขึ้น 497.48 จุด หรือ 6.8%
"มากที่สุดในรอบ 4 เดือน" ปิดที่ระดับ 7,775.86 จุด
แนสแดค ปิดที่ระดับ 1,555.77 จุด เพิ่มขึ้น 98.50 จุด
และ เอสแอนด์พี ปิดที่ 822.92 จุด พุ่งขึ้น 54.38 จุด
ที่มา:สำนักข่าวไทย
สำนักข่าวอินโฟเควสท์
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น