กลยุทธ์ช่วงนี้ถือเงินสดดีที่สุด
หุ้นทั่วโลกเจอถล่ม หลังตัวเลข ศก.สหรัฐฯ ย่ำแย่ ต่างชาติเทขายกว่า 2 พันลบ. ทำดัชนีฯหุ้นไทยวานนี้ร่วงกว่า 3% เซียนหุ้นมองสัปดาห์นี้ดัชนีฯมีโอกาสแตะ 620 จุด แนะลดพอร์ตการลงทุน หันถือเงินสด แต่หากอยากซื้อหุ้นให้สะสมหุ้นปันผลแจ่ม CPF-SPALI-ADVANC-TTA เป็นต้น
ร่วงไม่เป็นท่า สำหรับดัชนีฯวานนี้ (17 ส.ค.) ปิดตลาดที่ 632.05 จุด ลดลง 22.20 จุด หรือ 3.39% มูลค่าการซื้อขาย 26,347.42 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นการปรับตัวลดลงเป็นไปในทิศทางเดียวกับดัชนีฯดาวโจนส์ล่วงหน้าวานนี้ ตามเวลาประเทศไทย ( 16.02 น.) ดัชนีดาวโจนส์ล่วงหน้าปรับตัวลดลง 179 จุด โดยได้รับผลกระทบจากการเปิดเผยดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และแนวโน้มผลประกอบการที่ซบเซาของห้างเจซีเพนนีย์
ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยข้อมูลการผลิตในภาคอุตสาหกรรม พบว่า การผลิตในภาคอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 0.5 % ในเดือนก.ค.หลังจากลดลง 0.4 % ในเดือน มิ.ย. ดีกว่าที่คาดไว้ที่ 0.3 % และยังเป็นการปรับตัวขึ้นครั้งแรกในรอบ 9 เดือน
ส่วนกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI)เดือนก.ค. พบว่า ดัชนี CPI ทั่วไป ทรงตัวในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น0.7 % ในเดือนมิ.ย. แต่ดิ่งลงเป็นประวัติการณ์นับตั้งแต่ปี 1950 เมื่อเทียบเป็นรายปี ส่วนดัชนี CPI พื้นฐานซึ่งไม่รวมหมวดอาหารและพลังงาน ขยับขึ้น 0.1 % ในเดือนก.ค. หลังจากเพิ่มขึ้น 0.2 % ในเดือนมิ.ย และเมื่อเทียบเป็นรายปี ดัชนี CPI พื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.5 % ในเดือนก.ค.ปีนี้ ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่เดือนก.พ.2004 เทียบกับที่เพิ่มขึ้น 1.7 % ในเดือนมิ.ย.โดยดัชนี CPI ดังกล่าวบ่งชี้ว่าภาวะเงินเฟ้อจะยังคงอยู่ในระดับต่ำต่อไป
ส่งผลให้ดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ต่างปรับตัวลดลง โดยวานนี้ดัชนี นิกเกอิ ตลาดหุ้นญี่ปุ่นปิดที่ 328.72 จุด หรือ 3.10% , ดัชนีฮั่งเส็ง ตลาดหุ้นฮ่องกง ปิดลบ 755.68 จุด หรือ 3.62% , ดัชนีเวทเต็ด ตลาดหุ้นไต้หวัน ปิดลบ 137.71 จุด หรือ -1.95% , ดัชนี ASX All ordinaries: ตลาดหุ้นออสเตรเลีย ปิดลบ 67.00 จุด หรือ -1.50 %
ขณะที่วานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2,138.35 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,208.76 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนทั่วไปซื้อสุทธิ 4,347.11 ล้านบาท
นายเจริญ เอี่ยมพัฒนธรรม รองกรรมการผู้จัดการ บล.เคทีซีมิโก้ กล่าวถึงสาเหตุที่ทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยวานนี้ปรับตัวลงแรงว่าเป็นไปตามทิศทางดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศที่ต่างปรับตัวลดลงกันอย่างถ้วนหน้า หลังดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯในเดือนส.ค.ออกมาไม่ดี ประกอบกับก่อนหน้านี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นมาแรงมากแล้ว ดังนั้นเมื่อมีข่าวลบออกมาก็เป็นเหตุให้นักลงทุนแห่ขายทำกำไร
ขณะที่กรณีการชุมนุนของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.ในวันจันทร์ ที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้น จึงมองว่าปัจจัยภายในประเทศไม่มีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย
ทั้งนี้ คาดว่าสัปดาห์นี้ดัชนีตลาดหุ้นไทยอาจปรับตัวลดลงได้อีกเล็กน้อย โดยเชื่อว่าการปรับลงของดัชนีฯในรอบนี้ไม่น่าจะหลุดแนวรับ 630-620 จุด อย่างไรก็ดีต้องติดตามทิศทางดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศเป็นหลักหากเริ่มทรงตัวก็มีลุ้นที่จะเห็นดัชนีตลาดหุ้นต่างประเทศและดัชนีหุ้นไทยรีบาวน์ได้ โดยเฉพาะหุ้นไทยที่มีลุ้นรีบาวน์ขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 650 จุด โดยปัจจัยที่ต้องติดตามคือการประการตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ
กลยุทธ์แนะนำจังหวะที่ดัชนีฯลงสู่แนวรับเป็นจังหวะเข้าเก็บหุ้นบิ๊กแคป อย่าง พลังงาน กับ กลุ่มธนาคารพาณิชย์
****สองโบรกฯ แนะลดพอร์ต-ถือเงินสดปลอดภัยที่สุด
มล.ทองมกุฎ ทองใหญ่ กรรมการผู้จัดการ บล.ซิตี้ คอร์ป (ประเทศไทย) และฐานะนายกสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ต่างประเทศ เปิดเผยกับ eFinanceThai.com ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ไทยที่ปรับตัวลดลงกว่า 20 จุด เนื่องจากได้รับปัจจัยลบจากทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง หลังได้รับแรงกดดันจากดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคช่วงต้นเดือนสิงหาคม ลดลงสู่ระดับ 63.2 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแค่เดือนมี.ค. ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์คาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 68.5 จากระดับ 66.0ในช่วงปลายเดือนก.ค. รวมทั้งได้รับปัจจัยลบจากเศรษฐกิจในไตรมาส 2 ของประเทศญี่ปุ่นเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์ โดยมีการเติบโตต่ำกว่าคาดการณ์ที่ 3.7% จากที่คาดการณ์ว่าจะเติบโต 3.9% นอกจากนี้ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่ปรับตัวลดลงทำให้มีแรงขายออกมาในหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ อย่างกลุ่มพลังงาน จึงเป็นตัวกดดันการเคลื่อนไหวของทิศทางตลาดหุ้นไทย
สำหรับประเด็นการเมืองในประเทศประเมินว่าไม่มีน้ำหนักต่อตลาดหุ้นไทยมากนัก โดยให้น้ำหนักกับทิศทางของต่างประเทศและตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญต่างๆมากกว่า แต่อย่างไรก็ตามยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามมอง
นอกจากนี้ประเมินว่าดัชนีฯในสัปดาห์นี้มีโอกาสแตะระดับ 620 จุดได้ กลยุทธ์การลงทุนแนะลดพอร์ตลงทุนเพื่อลดความเสี่ยง หรือ ซื้อหุ้นที่มีการจ่ายเงินปันผล
"ตลาดหุ้นไทยที่ปรับตัวลดลงวันนี้ก็เป็นไปตามทิศทางของตลาดหุ้นทั่วโลกที่ส่วนใหญ่ปรับตัวลดลง อาทิ ตลาดหุ้นจีนปรับตัวลดลง 1% เพราะได้รับปัจจัยลบจากตัวเลขเศรษฐกิจต่างๆที่ออกมาไม่ดี อีกทั้งดัชนีฯก็ปรับตัวเพิ่มขึ้นมาเยอะพอสมควรแล้ว ทำให้มีแรงขายออกมาบ้าง ทั้งนี้ปัจจัยเสี่ยงที่ต้องติดตามคือ ค่าเงินดอลลาร์ แต่ทั้งนี้คาดว่าดัชนีฯในช่วงนี้คงปรับตัวลงไม่ลึก เพราะเมื่อดัชนีฯปรับตัวลดลงก็จะมีคนเข้ามาซื้อ ทั้งนี้นักลงทุนต่างชาติยังมองว่าหุ้นไทยยังถูกอยู่ แต่ทั้งนี้คงต้องเลือกดูเป็นรายตัว"มล.ทองมกุฎ กล่าว
ด้านนายทวีรัชต์ มัททวีวงศ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซีย ไซรัส กล่าวว่า สัญญาณเทคนิคของดัชนีในช่วงสัปดาห์นี้เป็นเชิงลบ ดังนั้นนักลงทุนควรลดพอร์ตการลงทุนและหาทางถือเงินสดให้ได้มากที่สุด หรือดัชนีรีบาวน์ขึ้นให้หาจังหวะขายทำกำไร
ทั้งนี้ต้องจับตาปัจจัยต่างประเทศเป็นหลัก โดยเฉพาะทิศทางการเคลื่อนไหวของดัชนีดาวโจนส์และดัชนีในภูมิภาคเอเชีย ซึ่งในวันนี้ปรับตัวลดลงทุกตลาด จึงมองว่าความเสี่ยงมีมากขึ้น ทั้งนี้ประเมินวแนวรับ 624 จุด แนวต้าน 645 จุด
****โบรกฯ ประสานเสียงหากอยากเล่นหุ้น ซื้อหุ้นปันผลดีที่สุด
บทวิเคราะห์ บล.เอเซีย พลัส ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุนช่วงนี้ แนะนำซื้อสะสมหุ้นที่ฟื้นตัวตามเศรษฐกิจโลก และ เศรษฐกิจในประเทศ พร้อมกับยังสามารถจ่ายเงินปันผลต่อเนื่อง TVO ราคาเหมาะสม 16.86 บาท กำหนดจ่ายเงินปันผลจ่ายเฉพาะ 6 เดือนแรกของปี 2552 คาดไว้ที่ 0.79 บาท, CPF ประกาศจ่ายปันผล 0.23 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD 20 ส.ค.2552 TTA ราคาเหมาะสม 31.60 บาท ADVANC ประกาศจ่ายปันผล 3 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD 25 ส.ค. 2552
สถาบันวิจัยนครหลวงไทย ระบุว่า กลยุทธ์การลงทุน SCRI แนะนำ “ซื้อสะสม” หุ้นในกลุ่มที่ประกาศจ่ายเงินปันผลสูงโดยมีอัตราผลตอบแทนผลดำเนินงาน 1H/52 สูงกว่า 4% อาทิ BCP-DR1 , SPALI ล MCS (แต่กลยุทธ์จะเป็นการขายทำกำไรก่อนขึ้นเครื่องหมาย XD) และ ทยอยขายทำกำไร กลุ่มอสังหาฯ ที่ราคาสูงกว่าราคาเหมาะสม LH , SIRI
SCRI ยังคงคำแนะนำให้ขายทำกำไรส่วนที่ 2 (จากทั้งหมด 3 ส่วน) ของพอร์ตลงทุนอิงตามระดับดัชนีที่ 660 จุด แต่มีจุด stop loss สำหรับนักลงทุนระยะสั้น ที่ระดับ 630 – 635 จุด
บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ ระบุว่า หลังจบฤดูกาลประกาศงบคาด SET ระยะสั้นจะเริมพักฐาน อย่างไรก็ตามเนื่องจากปัจจัยต่างประเทศที่ยังเป็นกลาง ทำให้คาดการปรับตัวของ SET จะยังอยู่ในลักษณะ Sideways ไม่ได้ดิ่งลงแรง ดังนั้น ยังพอเล่นสั้นได้ แต่ให้จำกัดพอร์ตลดความเสี่ยงโดยปรับกลยุทธ์จากซื้อสะสมขาขึ้น เป็น Trading Buy แทน โดยให้น้ำหนักการลงทุนในหุ้น 30%(เดิม 50%) โดยแนะนำขายทำกำไรหุ้นที่ประกาศงบแล้วไปแล้วและหมดประเด็น และโยกเงินมา TradingBuy ตามภาวะตลาด โดยเน้นหุ้นมีประเด็น เช่น หุ้นที่รอขึ้น XD หรือ หุ้นที่แนวโน้มครึ่งปีหลังยังดี โดยเราแนะนำ CPF BCP TMB TTA TOP IRPC ADVANC เพิ่มเติม THAI บล.เคทีซีมิโก้ ระบุว่า โดยเน้นหุ้นที่ให้ผลตอบแทนปันผลระหว่างกาลดี อาทิ BCP D/Y 6.5% , AIT D/Y 6.3% , SPALI D/Y 5.2%
บล.พัฒนสิน ระบุว่า กลยุทธ์ลงทุน หากต้องการซื้อเพิ่มเฉพาะหุ้นปันผลดี ได้แก่ SPALI ,TVO , MCS, CPF, ADVANC, BECL , TOP และ PSL
Categories
- กองทุน (2)
- ข่าวห้องค้า (7)
- ความรู้ หุ้น (15)
- ความรู้อนุพันธ์ (6)
- ความรู้อนุพันธ์;TFEX (1)
- ความรู้ SET (5)
- คอลัมน์ทองคำ (1)
- คอลัมน์หุ้น (30)
- ค่าเงิน (4)
- ค่าระวางเรือ (2)
- ดอกเบี้ย (6)
- ตลาดเงิน (3)
- ตลาดหุ้นทั่วโลก (9)
- ตลาดหุ้นไทย (239)
- ตลาดหุ้นสหรัฐ (46)
- ตลาดหุ้นสหรัฐ;เศรษฐกิจสหรัฐ (2)
- ตัวเลขส่งออก (1)
- ตัวเลข GDP (2)
- ทองคำ (14)
- น้ำมัน (15)
- แนวโน้มตลาดรายวัน (8)
- บทความหุ้น (56)
- ปฎิทินหุ้น (3)
- แผนกู้วิกฤตการเงิน (19)
- วอร์แรนท์ (3)
- เศรษฐกิจญี่ปุ่น (1)
- เศรษฐกิจไทย (91)
- เศรษฐกิจโลก (29)
- เศรษฐกิจสหรัฐ (11)
- หุ้น (65)
- หุ้นกู้ (3)
- หุ้นเด่นวันนี้ (4)
- หุ้นแบงค์ (2)
- G20 (3)
- warrant (1)
--==::: ข่าวประกาศ :::==--
ตลาดหลักทรัพย์ เปลี่ยนช่วงราคา และการแสดงราคา จาก 3 ระดับเป็น 5 ระดับ เริ่มวันจันทร์ 30 มี.ค.2552
บทความย้อนหลัง
- 05 ก.ค. (1)
- 11 ก.ย. (3)
- 09 ก.ย. (6)
- 03 ก.ย. (3)
- 02 ก.ย. (2)
- 27 ส.ค. (2)
- 20 ส.ค. (3)
- 18 ส.ค. (4)
- 10 ส.ค. (4)
- 04 ส.ค. (1)
- 03 ส.ค. (5)
- 30 ก.ค. (5)
- 28 ก.ค. (4)
- 27 ก.ค. (3)
- 24 ก.ค. (4)
- 23 ก.ค. (4)
- 22 ก.ค. (5)
- 21 ก.ค. (3)
- 20 ก.ค. (7)
- 17 ก.ค. (3)
- 16 ก.ค. (4)
- 15 ก.ค. (2)
- 14 ก.ค. (4)
- 13 ก.ค. (5)
- 10 ก.ค. (5)
- 09 ก.ค. (5)
- 08 ก.ค. (4)
- 03 ก.ค. (6)
- 30 มิ.ย. (5)
- 29 มิ.ย. (6)
- 26 มิ.ย. (4)
- 25 มิ.ย. (5)
- 24 มิ.ย. (5)
- 23 มิ.ย. (5)
- 22 มิ.ย. (5)
- 19 มิ.ย. (5)
- 18 มิ.ย. (5)
- 17 มิ.ย. (4)
- 16 มิ.ย. (4)
- 15 มิ.ย. (6)
- 12 มิ.ย. (5)
- 11 มิ.ย. (4)
- 10 มิ.ย. (4)
- 09 มิ.ย. (4)
- 08 มิ.ย. (4)
- 05 มิ.ย. (5)
- 04 มิ.ย. (4)
- 03 มิ.ย. (1)
- 28 พ.ค. (4)
- 27 พ.ค. (4)
- 26 พ.ค. (6)
- 25 พ.ค. (6)
- 22 พ.ค. (8)
- 21 พ.ค. (5)
- 20 พ.ค. (4)
- 19 พ.ค. (3)
- 14 พ.ค. (3)
- 13 พ.ค. (2)
- 12 พ.ค. (2)
- 11 พ.ค. (5)
- 07 พ.ค. (3)
- 06 พ.ค. (4)
- 30 เม.ย. (4)
- 29 เม.ย. (5)
- 28 เม.ย. (4)
- 24 เม.ย. (4)
- 23 เม.ย. (4)
- 22 เม.ย. (4)
- 20 เม.ย. (3)
- 17 เม.ย. (4)
- 16 เม.ย. (4)
- 10 เม.ย. (5)
- 09 เม.ย. (3)
- 08 เม.ย. (7)
- 07 เม.ย. (7)
- 05 เม.ย. (4)
- 03 เม.ย. (7)
- 02 เม.ย. (8)
- 01 เม.ย. (8)
- 31 มี.ค. (5)
- 30 มี.ค. (6)
- 29 มี.ค. (4)
- 28 มี.ค. (2)
- 27 มี.ค. (9)
- 26 มี.ค. (8)
- 25 มี.ค. (4)
- 24 มี.ค. (6)
- 23 มี.ค. (7)
- 20 มี.ค. (6)
- 19 มี.ค. (9)
- 18 มี.ค. (6)
- 17 มี.ค. (6)
- 16 มี.ค. (7)
- 13 มี.ค. (3)
- 12 มี.ค. (3)
- 11 มี.ค. (5)
- 10 มี.ค. (8)
- 09 มี.ค. (7)
- 05 มี.ค. (7)
- 04 มี.ค. (6)
- 03 มี.ค. (3)
- 02 มี.ค. (5)
- 27 ก.พ. (5)
- 26 ก.พ. (2)
- 25 ก.พ. (5)
- 18 ก.พ. (2)
- 17 ก.พ. (3)
- 16 ก.พ. (2)
- 12 ก.พ. (2)
- 11 ก.พ. (3)
- 09 ก.พ. (1)
18 สิงหาคม 2552
กลยุทธ์ช่วงนี้ถือเงินสดดีที่สุด
โดย Mboy เวลา 08:25
ป้ายกำกับ: ตลาดหุ้นไทย
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น