08 กรกฎาคม 2552

แนะพักเงินมันนี่มาร์เก็ต

แนะพักเงินมันนี่มาร์เก็ต รอจังหวะลงทุน

นักวิเคราะห์กองทุนรวม แนะพักเงินมันนี่มาร์เก็ต "รอจังหวะลงทุน”



หลังจากที่สินทรัพย์เสี่ยงเริ่มขยับปรับตัวขึ้นมาในตั้งแต่ช่วงเดือน มี.ค.2552 ถึงปัจจุบัน จากเม็ดเงินลงทุนที่เคยไหลไปพักไว้ในกองทุนตราสารตลาดเงินที่ให้ผลตอบแทนต่ำมาก เมื่อสัญญาณเศรษฐกิจเริ่มออกมาดีก็เริ่มโยกย้ายกลับเข้ามาหาผลตอบแทนที่ดีกว่ากันทั้งในตลาดหุ้นและตลาดสินค้าโภคภัณฑ์จนทำให้ตลาดหุ้นทั่วโลก

รวมทั้งตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ซึ่งในระยะสั้นเริ่มเห็นสัญญาณของการปรับฐานลดดีกรีความร้อนแรงลงมาบ้างแล้ว เราจะวางกลยุทธ์รับมือในระยะสั้นอย่างไรดี

“ศุภมาศ พยัคพันธ์” นักวิเคราะห์กองทุนรวม บมจ.หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) แนะนำ ในช่วงที่ราคาหุ้นและราคาน้ำมันน่าจะยังมีการปรับฐานอย่างต่อเนื่องยังแนะนำพักเงินในกองทุนตราสารตลาดเงินที่มีระดับความเสี่ยงต่ำเน้นลงทุนในตราสารหนี้ภาครัฐ ที่มีอายุเฉลี่ย (Duration) ของตราสารหนี้ที่ลงทุนต่ำและมีสัดส่วนเงินฝากในพอร์ตการลงทุนสูงเพื่อลดความผันผวนที่อาจจะ เกิดขึ้นจากปริมาณการออกพันธบัตรภาครัฐในอนาคต ซึ่งปัจจุบันผลตอบแทนของกองทุนตราสารตลาดเงินโดยเฉลี่ยในอุตสาหกรรมจะอยู่ประมาณ 0.3-1.0%

หากเทียบกับผลตอบแทนของเงินฝากออมทรัพย์ถือว่าดีกว่า และหากจะเทียบกับเงินฝากประจำ 6 เดือน ปัจจุบันเฉลี่ยหลังหักภาษีอยู่ที่ 0.4-0.6% ส่วนเงินฝากประจำ 1 ปี ให้ผลตอบแทนสุทธิหลังหักภาษีไม่ถึง 1.0% ซึ่งจะเห็นว่าผลตอบแทนไม่ต่างกันมากแต่กองทุนตราสารตลาดเงินได้เปรียบกว่าในเรื่องของสภาพคล่องซึ่งเหมาะที่จะพักเงินเพื่อรอจังหวะลงทุนต่อไป

“แนวโน้มของดอกเบี้ยเงินฝากในตลาดยังมีโอกาสจะปรับลงได้อีก โดยมุมมองของนักวิเคราะห์ในตลาดส่วนใหญ่มองว่าธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยังมีโอกาสจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (R/P 1 วัน) ลงได้อีก 0.25% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า

เรายังแนะนำผู้ฝากเงินลงทุนในกองทุนต่างประเทศประเภท Locked-in fund ที่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลเกาหลีใต้ทั้งหมด เพราะผลตอบแทนของกองทุนประเภทนี้ปรับตัวดีขึ้นในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากการลดภาษีดอกเบี้ยหัก ณ ที่จ่ายของรัฐบาลเกาหลีใต้ โดยพันธบัตรอายุประมาณ 1 ปี ให้ผลตอบแทนประมาณ 3% กว่า ซึ่งดีกว่าผลตอบแทนดอกเบี้ยเงินฝากประจำในประเทศไทยมากพอสมควรทีเดียว”

โดยศุภมาศแนะนำให้ลดสัดส่วนการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงลงในช่วงนี้ไม่ว่าจะเป็นหุ้น ทองคำ หรือน้ำมันเพราะอยู่ในช่วงที่ตลาดมีโอกาสปรับฐาน จึงควรจะขายลดความเสี่ยงเข้ามาพักเงินไว้ในกองทุนตราสารตลาดเงินก่อนบางส่วนเพื่อรอความชัดเจนและหาโอกาสเข้าลงทุนต่อไป

ในส่วนของตลาดหุ้นไทยเริ่มมีการอ่อนตัวให้เห็นหลังมีปัจจัยลบมากระทบจากข่าวของ S&P ที่อาจจะมีการปรับลดอันดับเครดิตของประเทศไทยจาก BBB+ เนื่องจาก ภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว และจากการอัดฉีดเงินจากภาครัฐที่ลดลง โดยการส่งออกของไทยในเดือน พ.ค. 2552 ลดลง 26.6% กระทรวงพาณิชย์คาดว่า การส่งออกของไทยในปี 2552 จะหดตัว 15-19% นอกจากนี้ทางธนาคารโลกยังออกมาปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของโลกในปีนี้ลงอีก

“ในขณะที่ราคาน้ำมันดิบก็อ่อนตัวลงจากข่าวนักเก็งกำไรน้ำมันดิบล่วงหน้าในตลาด NYMEX มีการปรับลดสถานะซื้อสุทธิลงเกือบครึ่งหนึ่งในช่วงสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 16 มิ.ย. 2552 ด้านราคาทองคำก็ลดลงเช่นกัน หลังจากที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมาประกอบกับมีข่าวว่ากองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) อาจจะมีการขายทองคำ 400 ตัน ออกมาในตลาด จึงอาจจะส่งผลกระทบในเชิงลบต่อราคาทองคำในระยะนี้ได้ จึงแนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในน้ำมันและทองคำในระยะนี้ออกไปก่อน”

ด้าน “สิทธิศักดิ์ ณัฐวุฒิ” ผู้อำนวยการอาวุโส หัวหน้าฝ่ายการลงทุนตราสารทุน บลจ.ยูโอบี (ไทย) บอกว่า บนสมมติฐานที่ว่าเศรษฐกิจโลกได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วและกำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว เงินเฟ้อต่ำ อนาคตเศรษฐกิจมีโอกาสที่จะฟื้นตัวได้ในอีก 1-3 ปีข้างหน้า จังหวะนี้การลงทุนในหุ้นเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด โดยแนะนำให้นักลงทุนลงทุนในหุ้นประมาณ 60% ของพอร์ต

ในส่วนนี้ควรจะกระจายไปในหุ้นจีน 20% หุ้นเอเชีย 10% และหุ้นไทยอีก 10% ส่วนที่เหลืออีก 20% กระจายไปในโอกาสลงทุนในหุ้นสหรัฐในบริษัทที่แข็งแกร่งคิดว่ายังไงก็ต้องฟื้นตรงนี้เป็นโอกาสเช่นกัน แบ่งลงทุนในตราสารหนี้ 30% โดยเน้นหุ้นกู้ภาคเอกชนเพื่อลดผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยที่อาจจะปรับสูงขึ้นได้จากการออกพันธบัตรจำนวนมากของรัฐบาล ที่เหลืออีก 10% เป็นสินค้าโภคภัณฑ์และอสังหาริมทรัพย์ซึ่งมีโอกาสจะปรับขึ้นได้เมื่อเศรษฐกิจฟื้น

คำแนะนำกลยุทธ์การลงทุนในระยะสั้นและการจัดพอร์ตให้เหมาะสมกับสถานการณ์น่าจะเป็นประโยชน์กับผู้ลงทุนอยู่บ้างไม่มากก็น้อย




0 ความคิดเห็น:

Template by - Abdul Munir | Blogging4