29 มิถุนายน 2552

ครึ่งปีหลังรุ่งราคาน้ำมันหนุน

คาด"มาร์เก็ตแคป" กลุ่มปตท. ครึ่งปีหลังรุ่งราคาน้ำมันหนุน


มาร์เก็ตแคป หุ้นกลุ่ม ปตท.ครึ่งแรกปีนี้เติบโตประมาณ 30% เทียบกับครึ่งปี 2551 ขณะที่ ปตท.สผ.ขยับน้อยที่สุด 18% ด้านโบรกฯ คาดว่าผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปรับตัวเพิ่มขึ้น 19.7% แต่จะลดลง 47% หากเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากปริมาณการขายสูงขึ้น คาดว่าทั้งปีกำไรสุทธิ 2.8 หมื่นล้านบาท


จากการสำรวจข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย พบว่า มูลค่าตลาดรวมหุ้นกลุ่มปตท. 6 บริษัทรวมอยู่ที่ 1.32 ล้านล้านบาท เมื่อเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 1.01 ล้านล้านบาท คิดเป็น 30.75% โดยหุ้น ปตท.อะโรเมติกส์ และการกลั่น (PTTAR) มาร์เก็ตแคปเพิ่มขึ้น 80.61% จากระดับ 2.90 หมื่นล้านบาท เป็น 5.24 หมื่นล้านบาท รองลงมาหุ้น ปตท.เคมิคอล (PTTCH) เพิ่มขึ้น 65.35% จากระดับ 4.75 หมื่นล้านบาท เป็น 7.85 หมื่นล้านบาท

หุ้นไออาร์พีซี (IRPC) เพิ่มขึ้น 48.15% จากระดับ 4.25 หมื่นล้านบาท เป็น 6.3 หมื่นล้านบาท หุ้นไทยออยล์ (TOP) เพิ่มขึ้น 44.07%จากระดับ 4.81 หมื่นล้านบาทเป็น 6.93 หมื่นล้านบาท หุ้น ปตท.(PTT) เพิ่มขึ้น 30.31% จากระดับ 4.49 แสนล้านบาท เป็น 6.44 แสนล้านบาท และ หุ้น ปตท.สผ (PTTEP) เพิ่มขึ้น 18.71% จากระดับ 3.53 แสนล้านบาท เป็น 4.20 แสนล้านบาท

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวว่า การที่ราคาน้ำมันดิบดูไบปรับตัวขึ้นมายืนระดับ 66 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลจาก 37 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เมื่อปลายปีก่อน ทำให้คาดว่าแนวโน้มผลประกอบการครึ่งปีหลังกลุ่ม ปตท.น่าจะฟื้นตัวได้จากการที่ทิศทางเศรษฐกิจที่น่าจะฟื้นตัว และช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบดูไบกระเตื้องน่าจะไต่ระดับ 70-80 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่ง บล.กิมเอ็ง ได้ปรับประมาณการราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยปีนี้ใหม่ขึ้นเป็น 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดังนั้นผลประกอบการครึ่งปีหลัง น่าจะดีกว่าครึ่งปีแรก

"ปัจจุบันส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบดูไบเฉลี่ยตั้งแต่ต้นปีมาถึงปัจจุบันขึ้นมาอยู่ที่ 51.04 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ดีขึ้นกว่าไตรมาสแรกที่มีราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยอยู่ที่ 44.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลและดีกว่าสมมติฐานราคาน้ำมันดิบเฉลี่ยทั้งปีของเราที่ 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง ซึ่งคาดว่าจะช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบฟื้นตัวตามไปทำให้ต้องปรับประมาณการผลกำไรของบริษัทปตท.ปีนี้ขึ้นอีก 13% คาดว่าจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5.45 หมื่นล้านบาทเติบโต 5.6%จากปีก่อน"นักวิเคราะห์กล่าว

ฝ่ายวิจัยคาดว่าผลประกอบการของบริษัทที่จะฟื้นตัวขึ้นทุกหน่วยธุรกิจไม่ว่าจะเป็นธุรกิจสำรวจและผลิตปิโตรเลียม (PTTEP), ธุรกิจก๊าซ, ธุรกิจโรงกลั่นและธุรกิจปิโตรเคมี (คาดธุรกิจโรงกลั่นและปิโตรเคมีจะรายงานกำไรสูงสุดของปีในไตรมาสนี้ตามการพุ่งขึ้นของราคาปิโตรเคมีและผลกำไรจากสต็อกน้ำมันของธุรกิจโรงกลั่น)ในไตรมาสที่ 2/2552 และในครึ่งปีหลังจะเป็นปัจจัยสำคัญสนับสนุนให้บริษัทสามารถทำกำไรได้ตามที่คาดไว้ได้ ส่วนคำแนะนำการลงทุนให้ซื้อลงทุนหุ้นปตท.โดยแนะนำให้นักลงทุนเข้าทยอยสะสมหุ้นเมื่อราคาหุ้นอ่อนตัวลง ในช่วงที่ราคาน้ำมันมีการปรับฐานลง โดยคาดว่าราคาน้ำมันจะฟื้นตัวได้ดีในครึ่งปีหลัง

นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ แนะนำหาจังหวะขายหุ้นปตท.สผ. หลังได้เข้าฟังข้อมูลจากผู้บริหารของบริษัทเมื่อวันที่ 24 มิ.ย. ที่ผ่านมา พบว่าแนวโน้มผลประกอบการไตรมาสที่ 2/2552 จะมีปัจจัยบวกจากปริมาณขายที่คาดจะเพิ่มขึ้นราว 2% จากงวดไตรมาสแรก ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยแม้จะมีแรงกดดันจากการปรับลดราคาค่าก๊าซ (โดยเฉพาะจากแหล่งบงกชและไพลิน) แต่จะได้รับชดเชยจากการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบ ทำให้คาดราคาขายเฉลี่ยไตรมาสนี้จะเพิ่มขึ้น โดยคาดจะอยู่ที่ราว 38.7 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 4.5% งวดไตรมาสแรก และประเมินยอดขายรวมไตรมาสที่ 2 จะอยู่ที่ราว 2.63 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 5%จากงวดไตรมาสแรก แต่ลดลง 29% จากงวดเดียวกันของปีก่อน

ขณะที่ทางด้านค่าใช้จ่ายต่างๆ ล่าสุดทางบริษัทระบุยังไม่มีการตัดจำหน่ายหลุมใดๆ อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้น หากพิจารณาบนสมมติฐานดังกล่าว คาดกำไรสุทธิไตรมาส ที่ 2/2552 จะอยู่ที่ประมาณ 6.9 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 19.7%จากงวดไตรมาสที่ 1/2552 แต่ลดลง 47%งวดเดียวกันของปีก่อน สำหรับแนวโน้มในช่วงที่เหลือของปี คาดผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้น เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกเนื่องจากปริมาณขายที่คาดจะเพิ่มขึ้นจากแหล่ง อาทิตย์เหนือและ MTJDA ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยที่คาดจะสูงขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมันดิบเช่นกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับปี 51 แล้วคาดจะชะลอตัวหนักเนื่องจากราคาน้ำมันที่คาดจะลดลงจากงวดเดียวกันปีก่อน โดยยังคงประมาณการปี 2552 ตามเดิม โดยคาดว่ากำไรสุทธิที่ราว 2.8 หมื่นล้านบาท ลดลง 31% จากงวดเดียวกันปีก่อน


ทั้งนี้ มองว่าด้วยปัจจัยพื้นฐานระยะสั้น ของทางบริษัทเองไม่ได้มีปัจจัยบวกที่ชัดเจนในการผลักดันราคาหุ้น ขณะที่ราคาน้ำมันคาดจะเริ่ม Sideways หลังจากที่ปรับขึ้นต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงไตรมาสแรก ราคาหุ้น ปตท.สผ. มีความสัมพันธ์ กับราคาน้ำมันราว 91% ดังนั้น คาดทิศทางเคลื่อนไหวของราคาหุ้นจะเป็นไปในทิศทางเดียวกับตลาด และไม่โดดเด่น ซึ่งราคาหุ้นปัจจุบันไม่ได้ถูก โดยซื้อขายที่ พีอีเรโชสูงถึง 14.5 เท่า สูงกว่าพีอีเรโชในอดีตที่ซื้อขายระดับ 9-13 เท่า หากมองข้ามไปที่ปีหน้า โดยประเมินที่ระดับราคาน้ำมันเฉลี่ย 60-70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ราคาหุ้นน่าจะมีค่าพีอีเรโชที่ 11-12 เท่า ดังนั้น จะได้ราคาหุ้นราว 121-144 บาท ดังนั้น เมื่อมองว่าหากราคาน้ำมันไม่กลับไปเป็นขาขึ้นอย่างชัดเจนอีกครั้ง คาดว่าราคาหุ้น ปตท.สผ.จะแกว่งตัวใกล้เคียงราคาในปัจจุบัน สำหรับคำแนะนำ มองว่าควรหาจังหวะขาย และไปรอซื้ออีกครั้งเมื่อราคาอ่อนตัว

0 ความคิดเห็น:

Template by - Abdul Munir | Blogging4